ในตอนนี้เรานำเสนอวิธีการได้รหัสเบอร์นินี่ที่เนินเขาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ในการค้นหารหัสเบอร์นินี่ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ บนเนินเขาไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปริศนาอย่างง่ายๆ แต่มันเหมือนกับการตามหาความทรงจำที่ถูกฝังอยู่ในถนนเก่าๆ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรรกะของกลไกที่ซับซ้อน แต่ผ่านรายละเอียดของฉากและการสนทนาของตัวละครที่สลับกัน นำพาผู้เล่นไปที่ขอบเขตระหว่างความจริงและจินตนาการ เพื่อเปิดเผยลำดับตัวเลขที่ซ่อนอยู่หลังสายโทรศัพท์

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วหน้าสถานีรถไฟ ป้ายโฆษณาที่ดูเก่าๆ นั้น ในภาพแรกอาจดูไม่มีความหมายใดๆ ขอบของมันม้วนขึ้นเล็กน้อยจากลมและแสงแดด เมื่อผู้เล่นเข้าใกล้และเปิดมันออก ภายใต้กระดาษสีเทาขาวปรากฏชุดตัวเลขที่เขียนด้วยมือ: 8594 ลำดับตัวเลขที่ดูธรรมดาๆ นี้ เนื่องจากการซ่อนอย่างมีเจตนา ทำให้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น มันเหมือนกับพิกัดที่ถูกทิ้งไว้ในอดีต รอให้ถูกต่อสายใหม่

จากนั้นเดินทางไปยังบูธโทรศัพท์ที่โดดเดี่ยวอยู่ที่มุมถนน โครงสร้างโลหะมีคราบสนิม ส่วนหูฟังแขวนอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับไม่มีใครสัมผัสมานานหลายปี เมื่อผู้เล่นป้อน 8594 และกดโทรออก ที่ปลายสายโทรศัพท์จะค่อยๆ ดังขึ้นด้วยเสียงตอบรับที่คุ้นเคยแต่ก็แปลกแยกของร้านเบอร์นินี่ ฉากนี้เหมือนกับการเลื่อนภาพยาวในภาพยนตร์ ทำให้คนชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ และเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเนื้อเรื่องต่อไป

จุดเปลี่ยนของเรื่องราวเกิดขึ้นที่ร้านผลไม้ ใบหน้าของเจ้าของร้านแสดงความหวั่นไหวเล็กน้อย และคำพูดของเขาแสดงให้เห็นความไม่สบายใจเกี่ยวกับรายการสั่งซื้อ ลายมือบนกระดาษมัวเนื่องจากน้ำ แต่บางส่วนของข้อมูลยังสามารถอ่านได้ นำรายการสั่งซื้อกลับไปที่บูธโทรศัพท์ แล้วโทรออก 8594 อีกครั้ง ที่ปลายสายโทรศัพท์จะมีคำแนะนำให้ "ยืนยันติดต่อ" การเลือก "มิเชล" เป็นกุญแจสำคัญ ชื่อนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เพราะมันถูกกล่าวถึงโดยพ่อค้าแผงลอยในบทสนทนาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นกุญแจในการเปิดประตู

เมื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบรายการสั่งซื้อเสร็จสิ้น ระบบจะแจ้งว่า "สิทธิ์ในการขับขี่ถูกปลดล็อค" กระบวนการทั้งหมดครบวงจร แต่สิ่งที่จริงๆ แล้วทำให้ผู้เล่นประทับใจ ไม่ได้เป็นระบบการปลดล็อคนี้เอง แต่เป็นโลกของตรรกะที่มันนำเสนอ: ตัวเลขบนป้ายไม่ได้เป็นปริศนาที่สร้างขึ้นอย่างมีเจตนา แต่มันเหมือนกับเศษชิ้นส่วนของชีวิตประจำวันที่เหลืออยู่